EXIM BANK ปักธงปล่อยสินเชื่อสร้างเศรษฐกิจ BCG 100,000 ลบ. ภายใน 5 ปีพร้อมรับความเสี่ยง ให้กำเนิดอุตสาหกรรมใหม่ หนุนทุนไทยไปต่างแดนเปลี่ยนไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง พัฒนาสู่ความยั่งยืน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนำชมนิทรรศการ “การเดินทางของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย...BCG Journey” ของEXIM BANK จากนั้น นำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพจากสมุนไพร โดยเภสัชกรหญิงวันทณีย์เสนาคุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันเวนเชอร์ จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ผู้ผลิตแผ่นสติกเกอร์กันยุงและแผ่นสติกเกอร์หัวหอมบรรเทาหวัดจากสารธรรมชาติและจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจาก EXIM BANK ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565
ในโอกาสนี้ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK รายงานว่า จากแนวนโยบายรัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินหน้ายุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) หรือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง รองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเป็นดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของโลกEXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ได้เข้ามาเป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลในการสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การจัดตั้ง EXIM BANK เพื่อประกอบธุรกิจอันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออก การนำเข้า และการลงทุน เพื่อการพัฒนาประเทศ นับแต่เปิดดำเนินการในปี 2537 โดยต่อมาในปี2542 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ให้ EXIM BANK สามารถสนับสนุนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศได้กว้างขวางมากขึ้น และในปี 2561 ได้มีการขยายขอบเขตการให้บริการประกันความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนแก่ผู้ประกอบการไทย ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสามารถเข้าไปรับงานหรือขยายฐานการค้าการลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปีที่ผ่านมา EXIM BANK จึงได้ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างความยั่งยืนของโลกภายใต้กรอบแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งช่วยเหลือและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก แม้ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศรวมถึงการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ของประเทศคู่ค้า และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในโลกการค้ายุคใหม่
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูธุรกิจไทย โดยทำหน้าที่ “เครื่องยนต์รุ่นใหม่” ผลักดันการพัฒนาประเทศไทยในมิติเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยนโยบาย Dual-track Policy ชูบทบาท “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” ควบคู่กับการเป็น “ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs” EXIM BANK พร้อม “รับความเสี่ยง” มากกว่าธนาคารพาณิชย์ “ให้กำเนิดอุตสาหกรรมใหม่” โดยสนับสนุนโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมสู่อนาคต และ “หนุนทุนไทยไปต่างแดน” ทั้งด้านการค้าและลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนดำเนินภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง”การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอด Supply Chain
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ที่ผ่านมา EXIM BANK ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ธุรกิจBCG ไปแล้วประมาณ 30% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคารหรือประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการสนับสนุนสินเชื่อโครงการพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 3.7 แสนล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนในอากาศมากกว่า 100 ล้านตัน EXIM BANK ตั้งเป้าหมายจะขยายสินเชื่อที่ให้แก่ธุรกิจ BCG เป็น 100,000 ล้านบาทภายในปี 2570 เพื่อร่วมกับประชาคมโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2608 นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้ Smart Farmers มีการเพาะปลูกแบบ Organic และพัฒนาระบบ Zero Waste สามารถนำกากของเสียจากโรงงานกลับเข้าสู่กระบวนการผลิต เพื่อหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผันตัวเป็นผู้ส่งออกได้ในที่สุด
“การเดินทางของ EXIM BANK ในบทบาท ‘ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย’ นับแต่อดีตมุ่งเน้นลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ เราเริ่มต้นจากการสร้างผู้ส่งออก นักลงทุน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียนด้วยกัน รวมทั้งการขยายโอกาสของธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ (New Frontiers) ภายใต้โมเดลที่วันนี้เรียกว่าBCG ทำให้เกิดไฟฟ้า ประปา พลังงานหมุนเวียนรองรับความต้องการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนและป้อนภาคอุตสาหกรรมในประเทศต่าง ๆ สร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยและประชาคมโลกโดยรวม” ดร.รักษ์ กล่าว